ยาคุมกำเนิด (Contraceptive Pill หรือ Birth Control Pill) เป็นหนึ่งในวิธีการคุมกำเนิดด้วยการรับประทานยาเม็ด ซึ่งในตัวยาบรรจุฮอร์โมนเพศหญิงไว้เมื่อรับประทานยาคุมกำเนิดไปแล้วฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายจะเพิ่มสูงขึ้น และลดลงเมื่อเลิกทาน เนื่องจากยาคุมกำเนิดเป็นยาที่ใช้ได้สะดวกและมีประสิทธิภาพดีทำให้ยาคุมกำเนิดได้รับความนิยมเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นแบบฉีดหรือแบบรับประทาน แต่การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกายใช้ว่าจะดีเสมอไปเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเพศหญิงสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกได้ถึงแม้ว่ายาคุมกำเนิดจะไม่ได้เป็นความเสี่ยงหลักของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกก็ตาม
ยาคุมกำเนิดตามท้องตลาดทั่วไปจะประกอบไปด้วยฮอร์โมนเพศหญิงสังเคราะห์ 2 ชนิด คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน โดยทั่วไปแล้วความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งของผู้หญิงปากมดลูกของผู้หญิงจะขึ้นอยู่กับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย หากร่างกายมีระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคแต่นอกจากยาคุมกำเนิดแล้วยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่สามารถเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนให้สูงขึ้นอยู่เป็นระยะเวลานานได้อีก เช่น
- มีประจำเดือนก่อนเวลา คือ มีก่อนอายุ 12 ปี
- ประจำเดือนหมดช้ากว่ากำหนด หรือหมดหลังอายุ 55 ปี
- มีบุตรคนแรกหลังอายุ 30 ปีขึ้นไป
- ไม่มีบุตร
นอกจากความเสี่ยงโรคมะเร็งปากมดลูกจากยาคุมกำเนิดและการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว โรคมะเร็งปากมดลูกอาจจะเกิดขึ้นจากการไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ HIV เนื่องจากการติดเชื้อ HIV นั้นมีความเสี่ยงที่เชื้อจะพัฒนาไปเป็นมะเร็งปากมดลูก แต่ถ้าหากท่านมีอาการดังต่อไปนี้แล้ว
- มีเลือดออกทางช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์ อาจมีมากหรือมีน้อย
- มีเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน
- ประจำเดือนมามาก หรือมีนานกว่าปกติ
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- ลักษณะตกขาว มีทั้งแบบที่เป็นน้ำและข้น เป็นมูก เป็นหนอง มีเลือดปน มีเศษเนื้อปน แม้มีกลิ่นหรือไม่มีกลิ่นก็ตาม
- ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะเป็นเลือด
- ปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย
- ปัสสาวะขัดหรือถ่ายอุจจาระลำบาก
- ขาบวม
ขอแนะนำตรวจ MRI Lower – Abdomen (ตรวจช่องท้องส่วนล่าง) เพื่อตรวจวินิจฉัยความรุนแรงของโรค เพราะสามารถตรวจดูก้อนเนื้อชนิดต่าง ๆ รวมไปถึงการแพร่กระจายของมะเร็งได้เป็นอย่างดีทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องแม่นยำ