มะเร็งปากมดลูก ” ภัยร้ายที่ผู้หญิงควรรู้ “

มะเร็งปากมดลูกคร่าชีวิตผู้หญิงไทยถึง 7 คนต่อวัน (สถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปี พ.ศ.2563) และจากสถิติพบว่า ผู้หญิงไทยป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกเฉลี่ยปีละ 6,000 ราย มะเร็งปากมดลูกเริ่มแรกจะไม่ปรากฏอาการ เมื่อมีอาการมักอยู่ในระยะรุนแรงอาการที่พบมาก ได้แก่

  • มีเลือดออกทางช่องคลอด
  • ตกขาวมีความผิดปกติ
  • ประจำเดือนมาน้อย หรือมามากผิดปกติ
  • เลือดออกในวัยหลังหมดประจำเดือน
  • อ่อนเพลีย ซีด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
  • มีการบวม
  • ปัสสาวะไม่ออก หรือไหลไม่หยุด

ปวดท้องน้อยมะเร็งปากมดลูก แบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้

  • ระยะที่ 1 เซลล์มะเร็งจำกัดอยู่เฉพาะในบริเวณปากมดลูก
  • ระยะที่ 2 เซลล์มะเร็งลุกลามไปบริเวณโดยรอบ เช่น ช่องคลอดส่วนบน เนื้อเยื่อที่อยู่ติดกับปากมดลูก
  • ระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งแพร่ไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง เช่น ช่องคลอด ต่อมน้ำเหลือง เนื้อเยื่อภายในอุ้งเชิงกราน
  • ระยะที่ 4 เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ หรือออกนอกอุ้งเชิงกราน รวมทั้งปอด ตับ กระดูก

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

  • ตรวจแปปเสมียร์ (Pap smear) การใช้ไม้พายเก็บเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูก ก่อนนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ เป็นวิธีที่ใช้มาเป็นเวลานาน
  • ตินเพร็พ (Pap Test) พัฒนามาจากการตรวจวิธีแปปเสมียร์ โดยเก็บเซลล์บริเวณปากมดลูกด้วยอุปกรณ์เฉพาะจากนั้นใส่ลงในขวดน้ำยาตินเพร็พก่อนนำส่งเพื่อตรวจผลในห้องปฏิบัติการ
  • การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) คือ เครื่องตรวจร่างกายโดยการสร้างภาพเสมือนจริงของส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูง การตรวจด้วย MRI สามารถสร้างภาพภายในร่างกายได้ ” โดยไม่ต้องสอดใส่อุปกรณ์ใดเข้าไปในอวัยวะเพศ “ สามารถบอกลักษณะของเนื้อเยื้อภายใน เช่น มดลูก รังไข่ ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย กระเพาะปัสสาวะได้อย่างชัดเจน และไม่มีอันตรายจากรังสีเอกซ์