เมื่ออายุมากขึ้นสุขภาพร่างกายเราก็เริ่มทรุดโทรมลง โรคภัยต่างๆ ก็เริ่มถามหา แต่โรคที่เรามักนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ คือโรค “อัลไซเมอร์” แต่สงสัยกันไหมว่าทำไมแก่แล้วถึงเป็นโรคนี้ แล้วถ้าคนรอบตัวเป็นขึ้นมาเราต้องทำยังไงล่ะ มาดูสาเหตุของโรคและการปฏิบัติเมื่อคนใกล้ตัวเป็นกัน
“อัลไซเมอร์” เป็นโรคที่ส่งผลให้สมองทำงานผิดปกติ โดยผู้ป่วยจะมีปัญหาเกี่ยวกับความจำ การเรียนรู้ และพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่ไม่ใช่ความเสื่อมตามธรรมชาติ ผู้สูงอายุทุกคนไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นอัลไซเมอร์สาเหตุมาจากการเกิดโปรตีนประเภทหนึ่งชื่อว่า เบต้า-อะไมลอยด์ (Beta-Amyloid) มาเกาะตัวกับสมอง คล้ายหินปูนที่เกาะฟัน ทำให้เซลล์สมองบริเวณนั้นเสื่อมประสิทธิภาพลง
หลายๆ คนมักจะคิดว่าอัลไซเมอร์ก็คืออาการสมองเสื่อม แต่ความจริงแล้วทั้ง 2 อาการนี้ ไม่เหมือนกัน
สมองเสื่อม นั้นเป็นภาวะที่เนื้อเซลล์สมองเกิดการเสื่อมสภาพ ทำให้ความทรงจำ การใช้ความคิดและการตัดสินใจเสื่อมประสิทธิภาพลง เป็นอาการตามธรรมชาติที่สามารถเกิดได้กับทุกคน ซึ่งสามารถเกิดได้จากอายุที่มากขึ้น, พันธุกรรม, เป็นเนื้องอก, ผลข้างเคียงจากโรคประจำตัว หรือประสบอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนศีรษะ ส่วนอัลไซเมอร์ นั้นเกิดจากโปรตีนชื่อ “เบต้า-อะไมลอยด์” เกาะตัวที่สมองจากพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสมองต่างๆ ซึ่งเป็นอาการที่ไม่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ สามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ คือโปรตีนประเภทหนึ่งที่มีชื่อว่า “เบต้า-อะไมลอยด์” เกาะตัวที่สมองคล้ายคราบหินปูน ทำให้สมองบริเวณนั้นเริ่มเสื่อมสภาพ ซึ่งโปรตีนประเภทนี้สมองจะสร้างขึ้นมาจากพฤติกรรมต่างๆ ที่รบกวนการทำงาน ของสมอง ซึ่งมักจะเริ่มสะสมตั้งแต่ช่วง 20 ปี ซึ่งจะสะสมต่อไปเรื่อยๆ และเริ่มแสดงอาการที่อายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป
โดยเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ ดังนี้
👉🏻 พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือนอนหลับไม่สนิท
👉🏻 โรคประจำตัวต่าง เช่น ความดันโลหิตหรือเบาหวาน
👉🏻 อายุที่มากขึ้น เซลล์สมองเริ่มอ่อนแอ
👉🏻 มีสารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอต่อการฟื้นฟู
หากคนใกล้ตัวของคุณเป็นโรคอัลไซเมอร์ เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนเดิม คุณจำเป็นต้องปรับตัวหลายอย่างเพื่อดูแลเขา โดยสามารถทำได้ดังนี้
👉🏻 พาไปพบแพทย์อย่างสม่าเสมอ เพื่อทำการวินิจฉัยอาการอย่างสม่ำเสมอ
👉🏻 ดูและให้ทานอาหารและยาอย่างครบถ้วน เนื่องจากผู้ป่วยจะมีอาการเบื่ออาหาร หรือหลงคิดไปเองว่าทานอาหารและยาแล้ว จึงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้รับยาและสารอาหารครบถ้วน
👉🏻 ทำความเข้าใจในอาการ อย่ารำคาญหรือหงุดหงิดใส่ เนื่องจากผู้ป่วยจะมีอารมณ์ที่แปรปรวนบ้าง อาจทำให้ผู้เฝ้าดูแลนั้นหงุดหงิดหรือเสียกำลังใจ แต่ให้พยายามเข้าใจและคอยอยู่ข้างๆ
👉🏻 หางานอดิเรกให้ทำ เพราะงานอดิเรกนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยผ่อนคลายสมองได้เป็นอย่างดี แถมยังเป็นการบริหารสมองอีกด้วย
วิธีการตรวจวินิจฉัยที่มีประสิทธิภาพ
👉🏻 การซักประวัติ จากตัวผู้ป่วยเอง คนรอบข้าง หรือผู้ใกล้ชิด เพื่อสังเกตพฤติกรรมและอารมณ์
👉🏻 การตรวจร่างกาย เพื่อหาอาการร่วมทางระบบประสาท เช่น อาการอ่อนแรง การเคลื่อนไหวผิดปกติ
👉🏻 การตรวจสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า MRI เพื่อประเมินภาวะของสมอง ซึ่งจะสามารถพยากรณ์โอกาส
👉🏻 เกิดความเสียหายของสมองในอนาคต ได้ละเอียดแม่นยา ใช้สำหรับการติดตามรักษาโรคได้เป็นอย่างดี